เขาโค
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “งกบุญ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมมีเพื่อนที่งกบุญมาก ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าใครมาขอร่วมบุญมากๆ ก็จะไม่ค่อยพอใจ มันทำให้ใจเขาขุ่นมัว เราจะมีวิธีพูดอย่างไรให้เขารู้ตัวขึ้นมาครับ เพราะปัญหาคือเขางกอยู่ในสิ่งที่ดี แล้วผมไม่รู้จะไปบอกเขาอย่างไร กลัวเป็นกรรมครับ
ตอบ : คำว่า “กลัวเป็นกรรมๆ” เพื่อนฝูงอยู่ด้วยกัน เพื่อนฝูงอยู่ด้วยกันเวลาเขาทำสิ่งใด เราทำยืนหยัดของเราให้เขาเห็น ให้เขาเห็นไง เวลาเขาพูด เพราะอะไร เพราะคำว่า “ติดดีๆ”
เวลาแบบว่าทำความชั่วๆ มันเป็นความชั่ว ใครๆ ก็เห็นได้ ทำคุณงามความดีเป็นบุญเป็นกุศลไง จะทำคุณงามความดีแล้วมันติดดีอะไรนั่นน่ะ ติดดีนี่แก้ยากกว่าติดชั่วอีก เพราะอะไร เพราะมันดี มันดีน่ะ ของมันดี ก็สอนให้ทำดีก็ทำดีไง ความดี แต่ความดีอย่างนี้ถ้าเป็นความดีของเราเองมันก็เรื่องหนึ่งนะ
นี่คำว่า “งกบุญ” พองกบุญแล้วมันแบบว่าเวลาเพื่อนฝูงเขามา มารุมมากๆ เข้าเขาไม่ค่อยพอใจ พอไม่พอใจเขาก็ขุ่นมั่ว พอเขาขุ่นมัว เขาก็เป็นความทุกข์ของเขา แล้วเพื่อนเขาถาม เขาจะบอกหรือเขาก็กลัวว่ามันจะเป็นกรรม
ถ้ากลัวว่าเป็นกรรม เห็นไหม ในสายตาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เรามองเพื่อนมองฝูง คนนิสัยเป็นอย่างไร คนเห็นเป็นอย่างไร เรารู้ของเราได้ ถ้าเรารู้ของเราได้ แล้วสิ่งใดสมควรทำไม่สมควรทำ มันสอนเราเองไง มันสอนตัวเราก่อน ถ้ามันสอนตัวเราแล้ว ถ้างกบุญ มันเป็นที่อำนาจวาสนาของเขา ถ้าเป็นอำนาจวาสนาของเขา ใครๆ เขาก็ติด
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ดูสิ อย่างเช่นเวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นท่านเป็นคนอุปัฏฐากบาตรหลวงปู่มั่น อุปัฏฐากบาตรหลวงปู่มั่นเลย แล้วเวลาบาตรของท่าน ท่านถือธุดงค์
เวลาพระกรรมฐานเขาจะรู้ว่า เวลาจัดอาหารเสร็จแล้ว ถ้าเอาผ้าปิดแล้ว เขาเอาไว้ไม่มีใครไปเปิดได้ เพราะอะไร ถ้าทำแล้วมันไปขาดธุดงค์เขา
เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็รอจังหวะ รอจังหวะเวลาก่อนจะฉันอาหาร เพราะอะไร เพราะหลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นคนจัดอาหารใส่บาตรหลวงปู่มั่นเอง เพราะเราเป็นคนจัดใส่บาตร เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ในบาตรนั้น แล้วก็ประเคนท่าน
เวลาท่านจะฉัน “ศรัทธามาสาย ศรัทธามาสาย ศรัทธามาสาย ขอใส่บาตรหน่อย”
ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นพูดปั๊บ มือท่านมาถึงปากบาตรแล้ว หย่อนไปในบาตรแล้ว นั่นน่ะ แล้วท่านถือธุดงค์ไง
ก็หลวงปู่มั่นท่านพยายามเทศน์ พยายามสั่งสอนนะ ปลุกปั้นพระให้มั่นคง ปลุกปั้นพระให้เข้มแข็งแข็งแรงให้เป็นยอดคน เพื่ออะไร เพื่อชนะกิเลสของตน คนที่จะชนะความคิดตัว ชนะกิเลสตัว มันต้องมีสติมีปัญญา แล้วมีสัมมาสมาธิมันถึงชนะตัวได้ แล้วท่านก็สั่งสอนอย่างนั้น ปลุกปั้นอย่างนั้น
แล้วหลวงตาท่านก็ถือธุดงค์ ดีไหม ดี แล้วเป็นอะไร เป็นที่หลวงปู่มั่นสอนด้วย แต่เวลามันติดในดีอันนั้นไง คำว่า “ติดในดีอันนั้น” มันก็คิดข้างเดียวไง
เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะสอนท่านก็เทศน์สอนแล้ว เทศน์เรื่องม้า ม้าพยศ ถ้าม้าพยศเขาก็ไม่ให้มันกินหญ้า ถ้าพอมันดัดสันดานมัน พอมันดีขึ้น เขาให้มันกินพอสมควร ถ้ามันใช้งานได้ดีเขาถึงให้มันกินเป็นปกติ นี่เวลาท่านพูดอย่างนี้หลวงตาท่านก็เข้าใจ เข้าใจเพราะอะไร
เข้าใจเพราะท่านก็เป็นมหา ไอ้นี่มันอยู่ในตำรา อยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าอยู่ในพระไตรปิฎก เราศึกษาเราค้นคว้าเราก็รู้เหมือนกัน เรารู้เหมือนกันแต่เราไม่เอามาใช้เวลาที่มันจำเป็นไง
เวลาที่แบบว่า ถ้าอดอาหารมาก รุนแรงมาก เพราะว่าท่านจะเอาชนะกิเลสของท่านให้ได้ หลวงปู่มั่นท่านเห็นแล้วท่านสงสาร ว่านี่มันสุดโต่ง มันทำรุนแรงเกินไป ท่านก็เทศน์เรื่องม้าขึ้นมา เรื่องม้าพยศ
ถ้าม้าพยศเขาก็จะไม่ให้มันกิน แล้วก็มาฝึกฝนมัน ถ้ามันดีขึ้น เขาก็ผ่อนให้มันกินได้เล็กน้อย ถ้ามันเป็นม้าที่อยู่ในโอวาท เขาก็ให้มันกินโดยปกติ ท่านก็เรื่องอดอาหาร มันก็ผ่อนหนักผ่อนเบา แต่มันก็ถูกต้องนั่นแหละ แต่มันก็ผ่อนหนักผ่อนเบาเพื่อให้ร่างกายมันพอทรงตัวมันอยู่ได้
เวลาอยู่ด้วยกันที่หนองผือ ท่านถือธุดงค์ คำว่า “ถือธุดงค์” นี่ดีนะ คนอื่นถือไม่ได้ เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านเทศน์ให้ฟัง เวลาท่านถือธุดงค์ แล้วพระในวัดถือธุดงค์แล้วล้มเลิกไปหมด เพราะอยู่ในป่าอาหารมันก็น้อยอยู่แล้ว แล้วยิ่งไปถือธุดงค์อีกก็กินข้าวเปล่าไง แล้วองค์อื่นเขาได้ฉันอาหารน่ะ ฉะนั้น เวลาคนที่ล้มเหลวไป คนที่ยกเลิกไป เห็นแล้วท่านบอกว่า พวกอย่างนี้ นิสัยอย่างนี้มันนิสัยจับจด นิสัยไม่จริงจัง มันจะเป็นคนดีได้ยาก คนดีต้องมีจุดยืน
ท่านเห็นคนที่ทำด้วยกันกับท่านคือหลวงปู่หล้า หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ แล้วท่านเป็นพระที่อาวุโสกว่า ท่านบอกหลวงปู่หล้านะ “หล้า ถ้าบิณฑบาตกลับมาถึง มันเป็นทางสองแพร่งจะเข้าวัด ถ้ายังไม่เจอผม ห้ามเข้าวัดนะ” คือมาแบ่งปันกัน
ท่านยังคิดถึงคนอื่น เห็นไหม ธุดงค์มันทุกข์มันยากมันขาดมันแคลนอยู่แล้ว ท่านยังคิดถึงหลวงปู่หล้า เพราะอะไร เพราะพระในวัดที่ธุดงค์ๆ แล้วมันเลิกไปหมดเลย เพราะมันทนอยู่ไม่ได้
เวลาท่านถือธุดงค์ของท่านมันก็เป็นความภูมิใจ คนอื่นเขาล้มเหลวไปหมดเลย เราเข้มแข็ง แต่พอเราเข้มแข็งแล้วมันก็มีแบบว่าเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ เวลาถึงเวลาแล้วหลวงปู่มั่นท่านรอจังหวะให้เผลอ พอเผลอก็ ศรัทธา ศรัทธาคือประชาชนเขาจะมาใส่บาตร เขาเรียกศรัทธา ศรัทธาไทย “ศรัทธามาสาย ขอใส่บาตรหน่อย” พับ! เสร็จเรียบร้อย นี่ไง ท่านฝึกหัด มันติดไปทั้งนั้นน่ะ
หลวงตาท่านเป็นพระ ตอนสุดท้ายท่านสิ้นกิเลสท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่ตอนที่ท่านจะสู้กับตัวของท่าน จะสู้กับกิเลสในใจของท่าน ความรอบคอบของเราสู้กิเลสในใจของเราไม่ได้หรอก
กิเลสในใจของเราเหมือนสวะ ถ้าน้ำน้อยมันก็อยู่บนน้ำมันก็ต่ำ พอน้ำสูงขึ้นมันก็อยู่สูง กิเลสมันอยู่เหนือหัวใจพวกเราไง เราก็ต้องแก้ไข เราก็ต้องพยายามของเราไง ถ้าพยายามของเรา ถ้าเราทำได้มันก็ดีงามไป ถ้าทำไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านช่วยชี้แนะช่วยบอกไง
นี่ก็เหมือนกัน กลับมาที่ว่า เพื่อนผมงกบุญไง
คำว่า “งกบุญๆ” เพราะบุญมันเป็นความดี เขาก็ชักชวนคนอื่นให้ทำคุณงามความดี แต่เวลาใครมาร่วมบุญมากๆ เข้า เขาก็ไม่ค่อยพอใจ
แต่ถ้าถึงเวลาแล้วเขาจะเห็นว่า บุญ ทาน ศีล ภาวนา ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง ถ้าเขาเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ เขาก็จะพัฒนาของเขาขึ้นไป เขาก็จะไม่ติดอยู่ตรงเรื่องระดับของทาน
ระดับของทาน บุญกุศล แล้วเราไปติดมัน เราก็ทำ เวลาเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ทุกคนก็เห็นใจทั้งสิ้น มีครูบาอาจารย์ที่จะเป็นบุญกุศลของเรา เราก็อุปัฏฐากอุปถัมภ์เพื่อให้เราภาวนาได้ดี
เราอยู่กับครูบาอาจารย์ เราพยายามเลยนะ รับบาตร เช็ดบาตร ดูแลบาตรท่านน่ะ ทำเพราะอะไร เพราะอยากภาวนาให้มันปลอดโปร่งไง อยากให้มีบุญกุศลช่วยส่งเสริม เพราะเวลาเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิมันเกือบเป็นเกือบตาย อยากหวังบุญหวังกุศลเพื่อการทำคุณงามความดีของเราจะได้ตลอดรอดฝั่งไง
เราก็ขวนขวาย อยู่กับครูบาอาจารย์เราขวนขวายทั้งนั้นน่ะ สรงน้ำ ขัดหลัง สีหลัง ต้มน้ำครูบาอาจารย์ เราทำมาทั้งนั้นน่ะ เพราะเราต้องการบุญกุศล คือว่าการทำความดีของเรา แล้วเวลามาภาวนามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม
ทีนี้คำว่า “งกบุญๆ” เพื่อนงกบุญแล้วก็ไม่กล้าบอก
เราทำเป็นตัวอย่างของเขา เราจะบอกว่า มันเป็นลิมิต มันวัดกันไม่ได้ คนมันชอบอย่างนี้ มันชอบบุญอย่างนี้ เราจะบอกว่าอันนี้มันไม่ดีๆ ไม่ได้ อย่างเช่นรถดีเซลมันก็ต้องเติมโซลา รถเบนซินมันก็ต้องเติมเบนซิน เครื่องบินก็เติมน้ำมันเครื่องบิน มันตรงกับจริตตรงกับนิสัยอย่างไร เขาก็เห็นพอดีของเข แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาทำของเขาได้ เขาก็จะพัฒนาของเขาขึ้นไป ถ้าพัฒนาของเขาขึ้นไป
เราเห็นแล้ว เห็นแล้วเราจะบอกว่า แล้วเราล่ะ เอ็งติดหรือเปล่า
เขาติด เขางกบุญ เอ็งงกไม่เอาบุญ มันติดคนละอย่าง เห็นไหม เราก็ค่อยๆ ดูแล ค่อยๆ รักษา เราจะบอกว่า มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เวลาทำคุณงามความดี เราก็พยายามฝึกฝนให้คนเป็นคนดีทั้งสิ้น
เวลาคนดีๆ เวลาคนดีทะเลาะกัน โอ้โฮ! วุ่นวายไปหมดเลยล่ะ คนดีกับคนชั่วทะเลาะกัน เราจะเห็นได้เลยว่าคนดีถูก คนชั่วผิด เวลาคนชั่วกับคนชั่วทะเลาะกัน ก็บอกว่าหนักแผ่นดินทั้งคู่ เวลาไอ้คนดีมันทะเลาะกัน โอ๋ย! ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดีไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขางกบุญๆ มันก็เป็นระดับของเขา ความคิดของเขา มุมมองของเขา แล้วมุมมองของเรา เราก็ว่าสิ่งนี้มันเป็นการงกเกินไป มันเป็นการทำให้เขาขุ่นมัวเกินไป ถ้าขุ่นมัวเกินไป ถ้าเขาคิดได้ เขาทำได้ของเขา ทำบุญกุศล ทำบุญกุศลที่ดีที่สุดคือนั่งลง แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราถวาย เราเอาตัวเราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
เราเอาร่างกายนี้นั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจและร่างกายของเราเลย ใครจะมาแย่งชิงได้
แล้วเวลาพุทธะ พุทธะอยู่กลางหัวใจ เวลาจิตสงบแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ทำสมาธิธรรม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเอาตรงนี้ไง
นี่พูดถึงว่า ถ้างกบุญนะ เพราะมันวัดกันไม่ได้ไง มันมาขีดระดับไม่ได้ว่าแค่ไหน ว่าของใครแค่ไหนพอดี แต่ถ้าเป็นความเห็นของเขา ความเป็นจริงของเขานะ แค่ไหนพอดี แล้วถ้าพอดีแล้วมันระดับของทาน เพราะอะไร
เพราะคนนะ เวลาทุคตะเข็ญใจเขาไม่มีเงิน ไม่มีอะไรจะทำทาน เขามีผ้าอยู่ผืนเดียว มีอยู่ผืนเดียวนะ สามีกับภรรยา ถ้าภรรยาออกจากบ้านก็นุ่งผ้าอันนั้นไป สามีต้องอยู่บ้าน ถ้าสามีออกจากบ้านก็ต้องนุ่งผ้าอันนั้นไป ภรรยาต้องอยู่บ้าน มีผ้าผืนเดียว แล้วไปถึงไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
เวลาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะถวาย จะถวายก็คิดถึงภรรยาที่บ้าน ถวายไม่ได้ ภรรยาไม่ได้ใช้ มันผูกพันไปหมดน่ะ ถึงที่สุดแล้วตั้งแต่ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม ถึงตัดสินใจว่าถวาย ถวายปั๊บ เขาก็ไปเอาพวกใบไม้ นุ่งห่มใบไม้ แล้วก็ถวายไป แล้วก็ชิตังเมๆ ที่ว่ากันอยู่นี่ ชนะกิเลสในใจของตน
แล้วพอดีบังเอิญเวลาทำบุญกุศล ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกษัตริย์อยู่ที่นั่นด้วย เขาบอกว่าเขาชนะๆ กษัตริย์บอกชนะอะไร ฉันต่างหากเป็นกษัตริย์ปกครอง เขาบอกว่า เขาชนะความตระหนี่ถี่เหนียวในใจของเขา
โอ้โฮ! กษัตริย์ขอแบ่งบุญจากเขาเลยนะ เขาบอกบุญของเขา เขาให้ใครไม่ได้ กษัตริย์ก็เลยให้ทรัพย์สมบัติเขา นี่กุศลมาเต็มเลย นี่อยู่ในพระไตรปิฎก วัดทั่วไปเอาตรงนี้มาเป็นตัวปลุกเร้าให้คนทำบุญๆ กันไง
ไอ้ทำบุญของใครก็แล้วแต่ เขาเป็นคนทุกข์คนจน คนร่ำคนรวย ระดับของคนมันไม่เหมือนกันไง แม้แต่คนทุกข์คนจน ผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งมันมีค่ากับชีวิตเขา เขาเสียสละได้ นี่เขาชนะใจของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันจะมีเล็กมีน้อยขึ้นมา มันอยู่ที่น้ำใจของคนต่างหากล่ะ ถ้าน้ำใจของคน อย่างเรา เราไม่มีอะไรเลย เราก็ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเพียร บุญกิริยาวัตถุ เรามีสิทธิเสรีภาพ เรามีอิสรภาพจะทำอย่างไรก็ได้ เราไม่ทำ เราอดทน มาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็ได้บุญ
บุญนะ มันเกิดได้หลากหลาย บุญคือคุณงามความดี ไม่ใช่ว่าบุญจะต้องวัดกันด้วยตัวเลขว่าใครให้มากใครให้น้อย ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว บุญคือว่าคนคนนั้นเป็นคนดี พ่อแม่ก็มีความสุข ทุกอย่างก็มีความดีงาม ถ้าความดีงามอันนั้น เห็นไหม
นี่พูดถึงว่า เขางกบุญ เขาเลยทำให้เขาขุ่นมัว แต่เขาเห็นเพื่อนเขาแล้วเขาทุกข์แทนเพื่อนเขา เขาเลยเขียนมาให้พระสงบทุกข์ด้วยคนหนึ่ง
กูก็ทุกข์ไปด้วยเลยนะ เพราะมันงกบุญ เราจะบอกว่าเราเคยเป็นเหมือนกัน บวชใหม่ๆ เข้าใจผิดไง เข้าใจว่าเป็นของเราๆ เราก็จะบริขารทำเองหมด จะงกไม่ให้ใครเลย ของกูคนเดียว สุดท้ายแล้วไม่มีคน เขาก็เข้ามาขอร่วมด้วย แหม! มันขุ่นใจเหลือเกิน แต่สุดท้ายแล้ว สุดท้ายแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นวัตถุภายนอก ถ้าหัวใจมันดีงามแล้วมันเป็นดีงาม
แต่เป็น เราก็เป็น เราจะบอกว่าเป็นเกือบทุกคนน่ะ เพราะอะไร เพราะเป็นคนมีกิเลสไง มันอยากได้อยากดี อยากเป็นของเรา แต่มันไปยึดอะไรล่ะ ของที่วางอยู่นี่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครมองเลยนะ พอเราหยิบปั๊บ ทุกคนมองแล้ว เฮ้ย! ดีหรือเปล่า
ของ ดูสิ ของที่เขาทิ้งไว้กลางถนนไม่มีอะไรเลย ขยะ ขยะที่ทิ้งตามถนน ไอ้พวกเดี๋ยวนี้ขยะเขาเก็บไปรีไซเคิล เขาทำเสื้อผ้า ทำรองเท้า อู๋ย! ขยะเป็นเงินเป็นทองเลย นี่ก็เหมือนกัน ใครเห็นคุณค่ามันล่ะ พอเห็นคุณค่าขึ้นมาก็จะหยิบจะฉวยจะแย่งกัน
แต่ถ้าไม่หยิบฉวยแย่งกัน เราจะบอกว่า เวลาเรื่องหัวใจมันไม่มีวัดระดับกันได้ คนมีทัศนคติ มีความรู้สึกนึกคิดจริตนิสัยของคนแตกต่างกันมาก ถ้าแตกต่างกันมากนะ เพียงแต่ว่า ทาน ศีล ภาวนา ทานก็ส่วนทาน มันสามเส้าไง สามเส้า ตั้งกาน้ำก็ได้ ตั้งหม้อข้าวก็ได้ ทาน ศีล ภาวนา
ฝ่ายมหายานเขาบอก ทานไม่สำคัญ เขามีศีลกับภาวนา แล้วศีลกับภาวนา ทานนี้เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องโลกๆ สุดท้ายแล้วความมั่นคงของศาสนา อันไหนสำคัญกว่า ความมั่นคงของการดำรงชีพ
แต่ทานของเรา ทานด้วยให้ธรรมเป็นทาน ให้วิชาการ ให้ความรู้ ให้ต่างๆ นี่ทานสูงสุดเลย ทานสูงสุดคือการให้สติ ให้ปัญญา ให้คนฉลาดขึ้นมา นี่ยอดของทาน มันไม่ใช่ตัวเลข ไม่ใช่ว่าต้องให้ๆ ไม่ใช่ อันนี้เวลาคนที่ใจเป็นธรรมแล้วนะ
พอจะบอกว่า เราก็เป็น ตอนบวชใหม่ๆ เรื่องบริขารนี่เราก็เป็น เขาพยายามจะขอร่วมด้วย แหม! นอนไม่หลับแล้วกันน่ะกว่าจะเข้าใจได้ เฮ้อ! มึงน่ะบ้า เขากลับไปอยู่บ้านกันหมดแล้ว มึงยังนอนไม่หลับอยู่นี่คนเดียว สุดท้ายแล้วจบ พอใจมันพัฒนาขึ้นสูงขึ้น
เป็น เราก็เป็น เราจะบอกว่า เป็นเกือบทุกคน แต่เป็นมากเป็นน้อย เป็นแล้วมันแสดงออกหรือไม่เป็น เพราะใครๆ ก็อยากหวังดี ความหวังไง ความหวัง การคาดหวัง การเจตนาอยากได้ นี่มันเป็น แต่พอไม่มีเจตนาก็ไม่ได้ทำความดีไง
ถ้าทำคุณงามความดีของเรา คนมีชีวิตไง เราก็ต้องทำไง แล้วถ้าทำแล้ว สิ่งที่ต่างๆ มันก็เป็น แล้วเป็น เป็นอย่างที่ว่า เรายกหลวงตาพระมหาบัวที่บอกว่า ที่หลวงปู่มั่นใส่บาตรๆ นั่นก็คือแก้ แก้ให้จิตใจมันปลอดโปร่ง แก้ให้อย่าให้ติดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้ผ่านไปให้ได้
สิ่งที่หลวงปู่มั่นทำกับหลวงตานั่นก็คือการแก้ แต่มันเป็นวิธีการของท่าน แล้วจิตใจที่สูงกว่า หลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ จิตใจที่สูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่า
แล้วจิตใจที่ต่ำกว่ามันไม่รู้จักข้างบนดีงามอย่างไรไง ไอ้คนที่มันดีงามแล้วมันอยู่ที่สูงกว่า มันพยายามจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมาๆ แล้วถ้าขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ขึ้นมาก็คุณธรรมในใจไง
เวลาคุณธรรมในใจแล้ว เวลาหลวงตาท่านพูด ใครไปทำกับท่านอย่างนั้นไม่ได้เลย ยกเว้นไว้แต่หลวงปู่มั่น เงียบเลย แต่พอผ่านไปแล้วท่านก็รู้ เพราะไม่รู้มันติดอยู่อย่างนั้นไง ไอ้ที่ทำเพราะครูบาอาจารย์ท่านแก้
นี่พูดถึงว่าความงกบุญนะ
ฉะนั้นบอกว่า ลิมิตหรือความพอดีของใจของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นการกระทบกระทั่งในหมู่เพื่อนฝูง เราค่อยๆ คุยกัน เราค่อยๆ คุยกันนะ
เถียงกันปากเปียกปากแฉะเลยแหละ หน้าแดงเลยแหละ ไม่ยอมลงกันน่ะ แต่ถ้าวันไหนคิดได้นะ ต่างคนต่างขอโทษ เฮ้ย! ขอโทษนะ วันนั้นกูแรงไปนิดหนึ่ง เวลาคิดได้นะ มันจะขอโทษนะ ถ้ายังคิดไม่ได้ มันจะเอาชนะคะคานกัน
โอ้โฮ! กิเลสนี้ร้ายนัก มันเผาผลาญทุกเรื่อง มันทำลายทุกอย่าง ทำลายตัวเอง ทำลายครอบครัว ทำลายเพื่อนฝูง ทำลายประเทศชาติ เวลากิเลสมันฟู แต่เรามีศีลมีธรรม เราพยายามกดมันลง ทำคุณงามความดีดับมันให้มันเบาบางลง แล้วให้เราได้สติสัมปชัญญะดีขึ้น มันจะเป็นประโยชน์กับเรา จบ
ถาม : เรื่อง “ขนโคกับเขาโค”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ไม่ทราบความหมายของขนโคกับเขาโคที่ลูกทราบถูกหรือไม่ และถ้าไม่ถูก ความหมายคืออะไรคะ
ลูกคิดว่า ความหมายของเขาโคคือบรรลุมรรคผลได้สักหนึ่งขึ้นตั้งแต่ชั้นโสดาบันขึ้นไป ไม่ทราบว่าถูกหรือเปล่าคะ
และเมื่อลูกนั่งสมาธิแล้วมีอาการแข็งเกร็ง เวลาจะออกจากสมาธิดึงมือออกจากกันไม่ได้ ไม่ทราบว่าคืออะไร แล้วต้องแก้ไขอย่างไรคะ
ตอบ : นี่พูดถึงเขาโคกับขนโค เขาโคกับขนโคอยู่ในพระไตรปิฎก เริ่มต้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบ เปรียบเทียบถึงการทำคุณงามความดี เปรียบเทียบว่าการอยู่ร่วมกัน
การอยู่ร่วมกัน คนที่จะเป็นคุณงามความดีได้มันมีน้อย มันมีน้อย คนที่สามัญสำนึกของสังคม คนที่เห็นแก่ตัว คนที่เอารัดเอาเปรียบคนมันเต็มไปหมดเลย มันเหมือนกับขนโค คนที่คนดีๆ คนที่มีอำนาจวาสนาเหมือนเขาโค นี่พูดถึงว่าเปรียบเทียบถึงสังคม พูดถึงว่าอยู่ในพระไตรปิฎกนะ
แล้วเวลาเทียบเคียงขึ้นมา เวลาในหมู่พระ เวลาในหมู่พระก็อย่างนี้ที่ว่า หมู่พระ เขาโคกับขนโคไง พระที่ทำตัวดีงาม พระที่ส่งเสริมดีงามเหมือนกับเขาโค คนที่บวชมาเป็นพระสักแต่ว่าพระ มันก็เป็นขนโค ขนโคมันก็อยู่ที่สังคม สังคมที่ดีงาม ในสังคมผู้ที่จะแหวกว่าย ผู้ที่กระเสือกกระสนไปเหมือนเขาโค
หลวงตาท่านพูดบ่อยมาก เขาโคกับขนโค
หมายความว่า เหมือนกับเรื่องของเมื่อสักครู่นี้ เวลามันงกบุญต่างๆ ตัวเองก็คิดว่าตัวเองเป็นเขาโคไง เขาโคมันก็ติดมันก็ยึดของมันไปอยู่อย่างนั้นไง แล้วจะเป็นขนโค ขนโคมันเต็มไปหมดไง แต่ถ้าเป็นเขาโคที่ดีงาม เขาโคที่ดีงาม เป็นคนดีงามต่างๆ มันก็พัฒนาของมันขึ้นมา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เขาโคกับขนโค เขาโคกับขนโค คนชั่วมีมากหรือคนดีมีน้อย นี่ต่างกันอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบถึงขนโคกับเขาโค
ฉะนั้น ถ้าความหมายของเขาๆ เขาบอกว่า เขามีความคิดว่า ถ้าเขาโคต้องเป็นอริยบุคคลตั้งแต่ชั้นต้นขึ้นไปถึงจะเป็นเขาโค
อริยบุคคลขึ้นไป ในอริยบุคคล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระโสดาบัน พระสกิทาคามีเต็มไปหมดเลย แล้วอะไรเป็นขนโค อะไรเป็นเขาโค มันอยู่ที่ว่ามีมากมีน้อยไง
ถ้าเป็นพระอรหันต์ๆ วัดทั้งวัดเป็นพระอรหันต์หมดเลย ในสมัยพุทธกาลวัดทั้งวัดเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เจ้าอาวาส ตั้งแต่พระ ตั้งแต่เณรเป็นพระอรหันต์หมดเลย แล้วอะไรเป็นขนโค เป็นเขาโค สิ่งที่ดีงาม เรื่องขนโคกับเขาโคท่านเปรียบเทียบอย่างนั้น
แต่ถ้าว่า ลูกมีความคิดว่า ถ้าเป็นเขาโคตั้งแต่อริยบุคคลชั้นแรกขึ้นไป
อันนั้นมันก็เรื่องระหว่างโลกกับธรรมแล้ว สัจจะ อริยสัจจะ พวกสัจจะ พวกมีสัจธรรม มีต่างๆ เขามีอริยสัจธรรมในหัวใจ แล้วอริยสัจธรรมตั้งแต่มีขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ขั้นที่ ๔ ขึ้นไป มันก็ส่งๆ กันขึ้นไปไง ถ้ามันเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์อย่างนั้น
เขาโคกับขนโคเป็นการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบถึงสังคม เปรียบเทียบถึงสิ่งที่หาได้ยาก ในโคหนึ่งตัวขนเต็มเลย มีเขาสองเขา
เวลาพูดอย่างนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธรรมกับคนที่ยึดมั่นถือมั่น คนที่กำลังลังเลสงสัย เวลาแสดงธรรมอย่างนี้ ไอ้คนที่ฟัง ปิ๊ง! หลุดเลยๆ ไอ้นั่นเป็นประโยชน์ตรงนั้นไง
แต่ของเรา เราศึกษาข้อมูลมา เราศึกษามาแล้วก็มาตีความ พอตีความ ตีความนะ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแก้จิตๆ เวลาแก้จิตขึ้นมา เรามีความลังเลสงสัยอย่างใดก็แล้วแต่ แล้วถ้ามันแก้ไขได้นี่เป็นประโยชน์
เวลาเราประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเวลาปฏิบัติขึ้นมา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใส่สมองลิ้นชักไว้ แล้วให้ฝึกหัดภาวนาขึ้นมา
แล้วภาวนาขึ้นมาถ้ามันมีมรรคมีผล คือมันเป็นสมาธิ มันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ถ้ามันลังเลสงสัยมันก็เปรียบเทียบตรงนี้ไง เปรียบเทียบกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทาง เป็นแนวทาง เป็นเป้าหมายที่เราจะประพฤติปฏิบัติ แล้วก็มาเปรียบเทียบเรา
ทีนี้คำถาม หนูมีความเห็นว่าเขาโคกับขนโค ความหมายอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ
ความหมายอย่างนี้ เราก็เทียบกับหัวใจเราสิ เพื่อประโยชน์กับเราไง ทีนี้เขียนมาถามหลวงพ่อ เพราะเหมือนกับว่าคนที่เขามีวิกฤติเขาคิดเขาสงสัย มีสิ่งใด พอมันเกิดธรรมะมันปลดล็อกในใจ ธรรมะมีประโยชน์อย่างนี้
ไอ้นี่สงสัยเฉยๆ ไง แล้วเขียนมา หลวงพ่อยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่เลย เพราะหลวงพ่อจะกินเนื้อโค
มันเป็นเรื่องของความสงสัย เรื่องของไอ้นั่นไป แต่เราก็เปรียบเทียบได้ เพราะว่าจะคิดแบบโยมก็ได้ จะคิดแบบใครก็ได้ เพราะมันคิดเพื่อเป็นประโยชน์เพื่อเปรียบเทียบไง มันเป็นเชิงวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องสัจธรรม แล้วถ้าหัวใจมันสูงส่งขึ้นมานะ มันเข้าใจแล้วมันก็ปล่อยวางได้หมดล่ะ
นี่พูดถึงเขาโคกับขนโคเนาะ ความเข้าใจ ความเข้าใจ การเปรียบเทียบ เปรียบเทียบเวลาของชั่วร้าย ความชั่วร้ายคือขนโค ความดีงามคือเขาโค สังคมเป็นแบบนี้ แล้วเราจะปรารถนาให้เหมือนกัน ปรารถนาให้ดีงามหมด เราเองต่างหาก เราเองต่างหากคิดไม่ถูกต้อง แล้วเราก็จะแบกทุกข์ของเราไว้ ถ้าแบกทุกข์ของเราไว้ “ทำไมไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมมันไม่ดีงาม ทำไมคนอื่นไม่ดีหมดเลย” เรายังไม่ดีเลย เรายังไม่เข้าใจอะไรเลย
ถ้าเราเข้าใจแล้ว เห็นไหม หลวงตาท่านสอน ใครจะดีใครจะชั่วมันเรื่องของเขา
เพราะมันเป็นเจตนา เป็นทัศนคติ เป็นกิเลสในใจของเขา แล้วเราแก้เขาได้ยาก หน้าที่ของเราคือแก้ไขหัวใจของเรา
ใครจะดีใครจะชั่วเรื่องของเขา เราจะแก้หัวใจของเราว่ะ เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราก็พยายามขวนขวายของเราให้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่พูดถึงเวลาเราเปรียบเทียบเป็นเชิงวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องสัจธรรม
“เวลาหนูนั่งภาวนา นั่งสมาธิแล้วตัวมันเกร็ง พอเป็นสมาธิแล้ว พอเข้าสมาธิ เวลาจะออกจากสมาธิดึงมือไม่ออกเลย มันเกร็งไปหมดเลย”
ถ้าตั้งสติไว้ ทุกอย่างจบหมด แล้วเวลาสิ่งใดที่เกิดขึ้นมันจะเป็นแผ่นเสียงตกร่อง เวลาเราภาวนาขึ้นมาแล้ว มันภาวนาขึ้นมาแล้วมันจะเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็จะฝังใจ ภาวนาครั้งต่อไปมันก็จะเป็นแบบนี้ แล้วเป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้จนมันเชื่อใจเลยว่ามันเป็นแบบนี้ แต่เวลาไม่ภาวนาไม่เห็นเป็นอะไรเลย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาแล้วมันเกร็ง เป็นสมาธิ
ถ้าเป็นสมาธิ การนั่งสมาธิ เช้าขึ้นมาตามสวนสาธารณะมีคนไปออกกำลังกายมากมายมหาศาล การออกกำลังกายนั้นเพื่อสุขภาพกายของเขา ทางการแพทย์เขาส่งเสริมมาก เพราะการป้องกันโรคดีกว่าการรักษาโรค
ถ้าใครไปออกกำลังกายแล้วสุขภาพแข็งแรงขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บมันไม่ถามหา มันเข้ามาสู่ร่างกายเราไม่ได้ เพราะร่างกายนั้นแข็งแรง นั่นไงเวลาเขาออกกำลังกายของเขา
ชาวพุทธ ชาวพุทธเราไปวัดไปวาทำบุญกุศลแล้วครูบาอาจารย์สอนให้ทำสมาธิ แล้วทำสมาธิก็ตั้งกันว่าสมาธิมันถูกมันผิด สมาธิต่างๆ
ไม่ใช่ ครูบาอาจารย์สอนว่า พยายามทำความสงบของใจ หลวงตาท่านสอนให้ดูแลรักษาหัวใจ
การดูแลรักษาหัวใจ สุขภาพจิตๆ สุขภาพจิตที่ดีงามขึ้นมา เราก็พยายามทำความสงบของใจเข้ามา ด้วยสติ ด้วยคำบริกรรม ด้วยอานาปานสติ ด้วยพุทโธ ด้วยธัมโม ด้วยสังโฆ ด้วยปัญญาอบรมสมาธิ เราพยายามจะรักษาสุขภาพจิตของเรา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามามีความสุขมาก มีความสุข มีความสุขตั้งแต่เรารักษาใจเราได้แล้ว
ดูสิ ทำงานนี้เก่งมาก เก็บกวาดในบ้านนี่เก่งไปหมดเลย ทำอะไรก็ได้ ถ้าเหงื่อไหลไคลย้อยทำได้ นั่งเฉยๆ ทำไม่ได้ เวลาให้นั่งเฉยๆ ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันทำไม่ได้ เพราะไม่เคยฝึกหัดไง
แต่ถ้าบอกว่าฝึกหัด เวลาเราทำหน้าที่การงานขึ้นมาเหงื่อไหลไคลย้อยเราทำได้หมดน่ะ ทำความสะอาดบ้าน ทำงานเสร็จแล้วเราจะทำความสะอาดหัวใจ นั่งสมาธิลง พอนั่งสมาธิลง
คนไม่เคยทำนะ โอ้โฮ! ความคิดนี้มหาศาลเลยล่ะ ถ้าเคลื่อนไหวอยู่นี่มันพอรับรู้ ให้นิ่งๆ นิ่งไม่ได้ แล้วพอนิ่งๆ ขึ้นไปมันก็เกิดอาการเกร็ง เกิดอะไรต่างๆ แล้วมันก็จะเป็นแผ่นเสียงตกร่อง
ถ้าเป็นสมาธิจะเกร็งอย่างนี้ พอเกร็งอย่างนี้แล้วมันจะไปเกร็งอย่างนี้
เราให้วางให้หมด
ไอ้ที่ว่า พอนั่งสมาธิแล้วมันจะตัวเกร็ง พอตัวเกร็งแล้ว เวลามือเท้ามันจะเกร็งไปหมดเลย ชักออกไม่ได้
ได้ วางใจให้ได้ ไอ้นี่มันเกร็ง เกร็งมาจากหัวใจนั่นแหละ เกร็งมาจากจิต จิตมันเกร็ง จิตมันยึดอย่างนั้น พอยึดอย่างนั้นปั๊บมันก็แผ่นเสียงตกร่อง มันก็จะเป็นอย่างนั้น
เวลานั่งสมาธิถ้ามันสงบแล้ว มันสบายใจแล้ว เวลาออกมาเราก็ทำใจเราให้สบายๆ พอใจสบายๆ แล้วมันก็ปล่อยวางหมดน่ะ ปล่อยวางหมด ความเกร็งมันก็จะไม่มีไง
เป็นความเกร็ง เป็นการเอียงซ้าย เอียงขวา เอียงหน้า เอียงหลัง เวลาทำไปแล้ว อาการวูบวาบต่างๆ เป็นธรรมดา เรื่องธรรมดาเลย คนปฏิบัติใหม่เป็นทุกคน ทุกคนเป็นหมด
แล้วพอเป็นไปแล้วนะ อาการโยกซ้าย โยกขวา โยกหน้า โยกหลัง นี่เป็นอาการ แล้วจิตล่ะ พุทโธอยู่ไหนล่ะ
สติอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ มันจะเอียง มันจะโยกหน้า โยกหลัง มันจะเกร็ง มันจะอะไร มันเรื่องอาการทั้งนั้น
คำว่า “อาการ” คืออารมณ์ แล้วพออารมณ์ เราไปยึดอารมณ์เราเอง พอยึดอารมณ์เราเอง เอียงซ้าย ทีนี้ก็ซ้ายไปตลอด เป็นหมดน่ะ
เพราะเราเคยเทศน์ แล้วมีผู้มานั่งภาวนาเต็มไปหมด พอมันเอียง เอียงไปเรื่อย “หลวงพ่อ มันเอียง เอียงจะล้ม”
ปล่อยมันล้มไปสิ ไม่ล้มหรอก หัวใจมันหลอกขนาดนั้นน่ะ
แล้วไอ้ที่ว่านั่งไปแล้วมันเกร็ง ชักไม่ออก เขาบอก “หลวงพ่อๆ ชักไม่ออก”
เราบอก ดึงมันก็ออกมา ดึงมันก็ออก เปิดมันก็ออก แต่มันเกร็งที่ใจไง
อย่างเช่นร่างกายมนุษย์การเคลื่อนไหวนี้ประสาทมันสั่งใช่ไหม สมองสั่งใช่ไหม สมองมันสั่งร่างกายถึงเคลื่อนไหวใช่ไหม ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบแล้ว อาการที่จะชักเข้าชักออกมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจทั้งนั้นน่ะ
ถ้ามันเป็นไปได้ พูดถึงอาการเกร็ง อาการเกร็งต่างๆ สมาธิแล้วมันวูบวาบต่างๆ นะ อันนั้นเราไม่ต้องไปสนใจ มันเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น เหมือนการลุกนั่ง การลุกนั่ง เรานั่งอยู่ เราจะลุกขึ้น เราก็ยกตัวขึ้น ยืนอยู่ ถ้าจะนั่ง เราก็นั่งลง
จิตก็เหมือนกัน มันฟุ้งซ่านโดยธรรมชาติของมัน เวลามันจะปล่อย มันเหมือนกับลุกนั่งนี่แหละ ยืนอยู่ก็นั่งลง นั่งเสร็จแล้วก็ลุกขึ้น จิตมันฟุ้งซ่านมันก็สงบลง สงบลงมันก็ฟุ้งซ่าน
ทีนี้พอฟุ้งซ่านไปแล้ว ลุก นั่ง ลุกไม่ไหว ไม่มีกำลัง ยืนอยู่ นั่งไม่ลง มันแข็ง นั่งไม่ลง
แต่ถ้ามันเป็นธรรมชาติ ลุกยืน นั่งลง ยืนขึ้น เหมือนกัน ใจก็เหมือนกัน แต่กว่าจะทำได้ หมอมันบอกเลยล่ะ เรื่องธรรมดา แต่คนป่วยนะ แล้วถ้าตัวมันแข็งต่างๆ เส้นมันยึด อู้ฮู! กว่ามันจะนั่งได้เกือบเป็นเกือบตาย
นี่ก็เหมือนกัน จิตกว่ามันจะสงบระงับได้ แล้วสงบระงับได้ อาการมันร้อยแปด พอร้อยแปด นี่พูดถึงว่าอาการเกร็งนะ
เราไม่ค่อยอยากจะพูด เพราะพูดแล้วคนมันจะกลัวไง โอ้โฮ! อุปสรรคเยอะขนาดนั้นเลิกดีกว่า แต่ไม่ใช่ อุปสรรคมีทุกคนน่ะ แล้วมันเป็นเบสิกเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานของความรู้สึกนึกคิดเลย แล้วเราค่อยๆ ฝึกหัด ค่อยๆ ฝึกหัด พอมันเป็นไป เหมือนนักกีฬาเลย นักกีฬาพอมันเล่นอะไรเป็นนะ ฮู้! ง่ายๆ แต่ก่อนมึงจะเป็นน่ะ ซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมแล้วซ้อมอีก
นี่สุขภาพกาย สุขภาพจิต การที่ว่านั่งไปแล้วตัวเกร็ง แขนเกร็งต่างๆ เป็นสุขภาพจิต แล้วสุขภาพจิต สุขภาพจิต สุขภาพกายยังรักษาง่ายกว่าสุขภาพจิต แล้วสุขภาพจิตเราฝึกหัดภาวนา
เราจะบอกว่า สิ่งที่ว่ามันเป็นๆ มันฝังใจเราคนเดียว คือเป็นคนเดียว เราเป็นเอง แต่ถ้าเราผ่อนคลายแล้ว เกร็งไม่มี ไอ้ที่ชักเข้าชักออกไม่ได้ไม่มี ถ้าเป็นทางพระ อุปาทานว่าเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าอุปาทานอย่างนี้ปั๊บ เดี๋ยวมันก็จะไปอุปาทานอย่างอื่น มันก็จะเกิดผลอย่างอื่น เกิดมาตลอด
นี่ไง อย่าโทษธรรมะนะ อย่าโทษใคร โทษกิเลสของตน กิเลสของตนที่ทำให้สับสนวุ่นวาย
คนจะทำคุณงามความดี เราก็รู้ เราก็เป็นชาวพุทธ เราลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลูกศิษย์พระกรรมฐานด้วย แล้วครูบาอาจารย์ก็สอนให้ฝึกหัดภาวนา เราก็รู้ว่าสิ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีงาม แล้วทำเพื่อสุขภาพจิต ทำเพื่อความดีงามของเรา นี่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในใจของเรา แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือกิเลสทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นอุปสรรค กิเลสมันแค่อ่อยเหยื่อ แค่หลอก หลอกนิดๆ มันยังไม่ทำอะไรเลยนะ นี่มันเกร็งไปหมดเลย
แต่ถ้าเรายึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อมั่นในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นในการสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำความสงบของใจเข้ามา เรื่องสุขภาพจิตขึ้นมา ถ้าจิตเราเข้มแข็ง จิตเราแข็งแรงขึ้นมาแล้วมันจะเข้าใจไปเรื่อยๆ ไง เข้าใจมากขึ้นๆ อาการต่างๆ นี้มันวางได้หมดแหละ
อาการต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาเพราะเราไม่รู้แล้วคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วมันก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราคิดว่ามันเป็น พอคิดว่ามันเป็น เห็นไหม แต่ถ้าเราวางหมดแล้ว มันไม่มี มันไม่เป็น เราคิดไปเอง
ถึงเวลาแล้วทำใจให้ปลอดโปร่ง ทำใจให้สบายขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิแล้ว เราคลายออกมาแล้วเราก็ลุกขึ้นหรือขยับร่างกาย
การขยับร่างกาย หลวงตาท่านสอน ท่านบอก เวลาท่านนั่งสมาธิ ถ้าวันไหนจิตมันลงง่ายแล้วเป็นสมาธิ คลายออกจากสมาธิ ลุกขึ้นได้สบายๆ เลย แต่ถ้าวันไหนกิเลสมันรุนแรง กิเลสมันเจ้าเล่ห์เจ้ากลมาก ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับมันด้วยสติด้วยปัญญา ต่อสู้กันเต็มที่ วันนั้นจิตก็สงบได้เหมือนกัน เพราะไม่สงบ อยู่ไม่ได้หรอก ไม่สงบนั่งตลอดรุ่งไม่ได้ แต่พอสงบแล้วพอจะออกจากสมาธิ พอมันคลายตัวออกมา ลุกไม่ได้ ลุกไม่ได้เพราะว่าร่างกายมันบอบช้ำไง พอร่างกายมันบอบช้ำนะ ท่านบอกว่าท่านจะต้องจับเท้าท่านยืดออกไปทีละข้าง แล้วนั่งเฉยๆ
คนที่เขารู้แล้ว คนที่มีสติปัญญาเขาไม่สนใจมันหรอก เขาเข้าใจว่าเราควบคุมมันได้เองหมดไง
พอเขาขยับเท้าซ้ายเท้าขวาออกไป แล้วปล่อยให้เลือดลมมันเดินได้ปกติของมันขึ้นมา แล้วขยับปลายนิ้วเท้า ถ้าปลายนิ้วเท้ามันขยับได้จนมันเป็นปกติแล้วท่านถึงลุกขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นลุกขึ้นแล้วล้มเลย คำว่า “ล้มเลย” มันบอบช้ำด้วยเรื่องร่างกาย นั่ง ๑๒ ชั่วโมงน่ะ
แต่ถ้าวันไหนนะ พอนั่งไปแล้วท่านใช้สติปัญญาของท่านควบคุมใจของท่าน ใจของท่านลงสมาธิได้ไว ร่างกายมันไม่บอบช้ำเพราะมันไม่ต้องทนเวทนา ไม่ต้องพิจารณากันด้วยสติด้วยปัญญา ร่างกายไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ท่านบอกว่า เวลาออกจากสมาธิ ลุกขึ้นได้สบาย ลุกเดินได้เลย เห็นไหม
คำว่า “ลุกเดินได้สบาย” เราก็รู้ คราวว่าเราออกจากสมาธิไปแล้ว ใจเราปลอดโปร่งเป็นสมาธิ แล้วจิตใจมันปลอดโปร่ง จิตใจไม่วิตกกังวลใช่ไหม แต่เรารับรู้ได้ว่าร่างกายมันชา มันจะเกิดอาการชาเพราะว่าเรากดทับไว้นาน เลือดลมมันไม่ขยับ ร่างกายมันจะชา มันเหมือนไม่มีความรู้สึก ไม่มีความรู้สึกแต่จิตใจมันปลอดโปร่งนะ มันจะลุกเลย ลุกก็ล้มเลย เคยลุกแล้วล้ม
พอเคยลุกแล้วล้ม ท่านจะบอกว่า อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้ ถ้าวันไหนเป็นอาการที่มันชา เพราะมันบอบช้ำ ท่านนั่งแล้วท่านก็ยกขาท่านออกไปทีละข้าง แล้วให้อาการชามันจะหายไปเพราะเลือดลมมันเดินดีแล้ว พอความรู้สึกสมบูรณ์แล้ว ท่านก็ลุกขึ้นโดยความปกติ เห็นไหม นี่มันโดยข้อเท็จจริงเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสัจธรรม เป็นความจริง
แต่ถ้ามันเป็นการเกร็ง การต่างๆ เรากิเลสมันหลอก แล้วกิเลสมันหลอกแล้ว เรามันฝังใจ อะไรถ้ามันสะกิดนะ แล้วมันทำให้ฝังใจนะ กิเลสมันร้ายอย่างนี้ มันป้ายไปที่จิตนั้นน่ะ โอ้โฮ! มันฝังใจไปตลอดชีวิตเลย
แล้วกว่าจะแกะกว่าจะแก้ กว่าจะแกะกว่าจะแก้ก็ต้องพิสูจน์ เฮ้ย! มันไม่เกร็ง เฮ้ย! มันดี มันต้องเอาความดีเข้ามาลบล้าง กิเลสมันแปะไว้ เราต้องเอาศีล เอาสมาธิ เอาปัญญาคอยเช็ดคอยล้าง คอยเช็ดคอยล้างจนมันเชื่อ เออ! มันไม่เกร็ง มันเป็นเพราะเราอุปาทานไปเอง จะเช็ดจะล้างจนกว่ามันจะออก เห็นไหม
หลวงตาท่านถึงบอกว่า การประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลส คือความเห็นผิดของเรากันไปเอง อย่าโทษธรรมะ อย่าโทษศีล สมาธิ ปัญญา อย่าโทษการประพฤติปฏิบัติ ต้องโทษกิเลส ความเห็นของกิเลสมันป้ายลงที่จิตแล้วเราเชื่อ เชื่อแล้วมันก็ฝังใจ ฝังใจไปแล้วนะ แล้วก็กลับมา “เราไม่มีวาสนา เราไม่มีวาสนา”
มี ถ้าเราฉลาด เราแก้ไขของเราไป กิเลสเท่านั้นมันปัดแข้งปัดขาเราทั้งสิ้น ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา
ถ้าจะให้ตอบนะ นี่มันจะเป็นขนโคไง ขนโคที่ส่วนมากมันจะเชื่ออย่างนี้ ถ้าเป็นเขาโคนะ เขาไม่เชื่อเรื่องเกร็ง เขาพิสูจน์แล้วเขาแก้ไข มันจะเป็นเขาโคไง ให้เป็นเขาโคเพื่อการประพฤติปฏิบัติ เอวัง